ถือได้ว่าโรงงานอัจฉริยะคือตัวอย่างการลงทุนขั้นสูงสุดในเทคโนโลยีดิจิทัล การบรรจบกันของเทคโนโลยีล้ำสมัย การเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิต ความสะดวกของระบบอัตโนมัติและเชื่อมโยงข้อมูล เหล่านี้คือประโยชน์จาก Internet of Things (IoT), ปัญญาประดิษฐ์, หุ่นยนต์, เทคนิคการผลิตแบบเติมเนื้อผ้า และการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ นำพาประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการด้านการผลิตที่ทันสมัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในสิงคโปร์เพราะมีปัจจัยอันยิ่งยวดคือการสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 อย่างแข็งแกร่งจากรัฐบาลสิงคโปร์ และยังเป็นแหล่งแรงงานทักษะสูงของภูมิภาค ความก้าวหน้าของโรงงานอัจฉริยะนั้นไม่เกิดขึ้นจากรัฐบาลท้องถิ่นแต่เพียงเท่านั้นเท่านั้น พบว่าบริษัทขนาดใหญ่ต่างมีส่วนร่วมพลักดันด้วยเช่นกัน

ภาคการผลิตของไทยเริ่มนำแนวคิดโรงงานอัจฉริยะมาใช้ก็จริง แต่เหตุผลที่แท้จริงของการเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นผลพวงทางอิทธิพลและแรงขับเคลื่อนจากบริษัทข้ามชาติและกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่เสียเป็นส่วนมาก ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนจากการเป็นภาคอุตสาหกรรมแบบมุ่งเน้นแรงงาน ไปสู่วิธีการผลิตที่ซับซ้อนมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่ได้ชัดเจน ได้แก่ วิวัฒนาการของอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมที่ได้ร่วมมือและร่วมงานกับกับผู้ผลิตชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมเกิดใหม่ ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้านการลงทุนจากรัฐบาล อุตสาหกรรมเหล่านี้ได้แก่ การบำรุงรักษาการบินและการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ และการลงทุนในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานสำหรับโรงงานอัจฉริยะ อีกทั้งรัฐบาลได้สร้างแรงจูงใจให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมด้วยมาตรการลดหย่อนภาษี เพื่อนำให้เกิดความสามารถในการแข่งขันภาคการผลิตอย่างเป็นรูปธรรม

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตัวเลือกที่สำคัญสำหรับที่ตั้งโรงงานแห่งใหม่ ทั้งความได้เปรียบทางต้นทุน ร่วมกับแรงงานทักษะเฉพาะทาง และความสามารถในการเข้าถึงตลาดฝั่งตะวันตก ในแง่ของอัตราค่าจ้างที่ปรับตามประสิทธิภาพการผลิต เศรษฐกิจอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการแข่งขันสูงที่สุดในโลก Boston Consulting Group (BCG) ประมาณการว่าผลผลิตภาคการผลิตของอาเซียนจะเพิ่มขึ้นอีก 400 พันล้านดอลลาร์สหรัฐถึง 600 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีภายในปี 2030 แต่กลับมีรายงานว่าผู้ผลิตในเอเชียแปซิฟิกมากกว่า 45% กำลังเผชิญสถานการณ์ที่ตัวเองพยายามดิ้นรนอย่างมากที่จะทัดเทียมคู่แข่ง เนื่องจากขาดนวัตกรรม แรงงานที่มีทักษะ และเทคโนโลยี ตามรายงานของ Rockwell Automation ร้อยละ 44 ของผู้ผลิต APAC วางแผนที่จะนำการผลิตอัจฉริยะมาใช้ภายในปีหน้า อย่างไรก็ตาม อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการนำการผลิตอัจฉริยะมาใช้คือการที่พนักงานต่อต้านการนำเทคโนโลยีมาใช้ การกลัวความเปลี่ยนแปลง การขาดทักษะในการจัดการและนำเทคโนโลยีไปใช้ ตลอดจนไปถึงขาดความชัดเจนเชิงแนวคิด ไม่สามารถตระหนักถึงมูลค่าและผลตอบแทนที่จะได้รับจากการลงทุนเพื่อนำการผลิตอัจฉริยะไปใช้ เป็นผลให้ 88% ของผู้ผลิต APAC วางแผนที่จะคงตัวเลขหรือแม้กระทั่งเพิ่มตัวการจ้างงาน สรรหาบุคลากร เพื่อขับเคลื่อนเทคโนโลยีเหล่านี้

รายงานจาก Precedence Research แสดงการคาดการณ์ว่าตลาดการผลิตอัจฉริยะทั่วโลก เติบโตด้วย CAGR ที่น่าประทับใจที่ 16% ในช่วง 2023 – 2032 พบว่าขนาดตลาด การผลิตอัจฉริยะทั่วโลกมีมูลค่า 226.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 และคาดว่าจะสูงถึง 985.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2032 ตลาดเติบโตเพราะแรงผลักดันอันได้แก่ความต้องการระบบเชื่อมต่อห่วงโซ่อุปทาน การผลิตบนฐานความรู้ที่มาพร้อมกับความสามารถในการสร้างแบบจำลอง การตรวจจับ การควบคุม และการจำลองขั้นสูง วิวัฒนาการ Industrial Internet of Things (IoT) ทำให้เกิดการผลิตแบบอัตโนมัติและการแปรรูปดิจิทัลครั้งใหญ่ นอกจากนี้ คาดว่าเทคโนโลยีคลาวด์ อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่งทางอุตสาหกรรม (IIoT) และการวิเคราะห์ขั้นสูงทางอุตสาหกรรม จะมีบทบาทสำคัญในการเติบโตอย่างอย่างเป็นสัดส่วน

ตลาดการผลิตอัจฉริยะในเอเชียแปซิฟิกมีมูลค่าประมาณ 83.73 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 และคาดว่าจะเกิน 364.61 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2032 โดยเติบโตที่ CAGR ที่ 15.9% ตั้งแต่ปี 2023 ถึง 2032 อีกทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกครองส่วนแบ่งการตลาดซึ่งนับว่าที่มากที่สุดในโลก อยู่ที่ 37% โดยประมาณ ในปี 2565 และคาดว่าจะกลายเป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดในช่วงคาดการณ์ปี 2023 ถึง 2032 ปรากฎการณ์แรงผลักดันในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พึ่งอุบัติขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากอุตสาหกรรมเผชิญกับข้อกำหนด กฎ ระเบียบ ด้านความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ มาตรฐานคุณภาพ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่มีมากขึ้น  เทคโนโลยีการผลิตอัจฉริยะมีบทบาทสำคัญ ช่วยให้ผู้ผลิตปฏิบัติตามกฎระเบียบเหล่านี้ ผ่านกลไกการตรวจสอบ การตรวจสอบย้อนกลับ และการควบคุมคุณภาพแบบเรียลไทม์ ด้วยเหตุนี้ นโยบายของรัฐบาลและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ คาดว่าจะยังเกิดการขับเคลื่อนและเติบโตในอุตสาหกรรมการผลิตอัจฉริยะในภูมิภาค ทั้งนี้เพื่อเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล 

บทสรุป

การเริ่มต้นอาจเป็นสิ่งเกินความท้าทาย ประเทศในกลุ่มอาเซียนกำลังลงมือสร้างโรงงานอัจฉริยะ โดยเริ่มต้นด้วยการลงทุนแบบมีทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน ซึ่งจะทำให้เกิดการแปรรูปธุรกิจทางดิจิทัล ผลคือเกิดข้อมูลเชิงวิเคราะห์ที่สามารถนำสร้างคุณค่าในรูปแบบใหม่ได้  อย่างไรก็ตาม การสร้างรวมถึงปรับเปลี่ยนขนาดของโรงงานอัจฉริยะจะมีความคล่องตัวและยืดหยุ่นนั้นเป็นไปได้และขึ้นอยู่กับการวางแนวคิดคอนเซ็ปต์แต่แรกเริ่ม ผู้ผลิตทุกรายไม่ว่าจะอยู่ในระดับใดก็ตามหรือแม้จะยังไม่มีเครือข่ายก็ตาม สามารถเริ่มต้นที่จะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นโรงงานอัจฉริยะอย่างแท้จริงได้ และสามารถที่จะใช้แนวคิดการบริหารที่เน้นคล่องตัวเพื่อให้เกิดการเติบโตด้วยวิธีใช้กระบวนการเดิมที่ประสบความสำเร็จ การเริ่มต้นจากการทดลองเล็กๆ เพื่อทดสอบแนวคิดในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพกว่าการคิดใหญ่ทำใหญ่ เมื่อทดสอบเป็นผลสำเร็จแล้วจึงปรับขนาดได้ในภายหลังโดยอาศัยบทเรียนการลงมือทำจริง สามารถขยายผลไปยังหน่วยงาน สายการผลิต และโรงงานเพิ่มเติมได้ ซึ่งทำให้เกิดโอกาสในการสร้างมูลค่าแบบทวีคูณ

Article by: Asst. Prof. Suwan Juntiwasarakij, Ph.D., Senior Editor & MEGA Tech

Smart factories represent the culmination of digital investments, where cutting-edge technologies converge to transform production processes. They are highly automated and interconnected facilities that leverage the Internet of Things (IoT), artificial intelligence, robotics, additive manufacturing techniques, and real-time data analytics to optimize operations. Most advanced manufacturing entrepreneurs in Southeast Asia are based in Singapore, notably due to the Singapore government’s strong support for Industry 4.0 developments and having a highly skilled labor force. In the region, the smart factory advancements are led by not only the local governments but also large companies.

Thailand’s manufacturing sector has begun to adopt the smart factory concept. Such movement has been predominantly influenced by large multinational companies and conglomerates. The country is shifting its focus from labor-intensive factories to more sophisticated methods of production. Key shifts include the evolution of its traditional sectors, closer collaborations with component manufacturers, government-backed investment in emerging industries such as aviation maintenance and medical tourism, and investments in infrastructure improvements for smart factories. The government is also incentivizing small and medium enterprises with tax breaks to adopt more competitive manufacturing practices. 

Southeast Asia is a prime candidate for new factory locations because it offers a blend of low costs, specialized skills, and relatively free access to Western and Asian markets. In terms of productivity-adjusted wage rates, ASEAN economies such as Indonesia, Malaysia, the Philippines, and Thailand rank among the most competitive in the world. Boston Consulting Group (BCG) estimates that ASEAN manufacturing output grow by an additional USD 400 billion to USD 600 billion a year by 2030. However, it has been reported that over 45% of Asia-Pacific manufacturers struggle to outpace competitors due to a lack of innovation, skilled workforce, and technology. According to Rockwell Automation’s report, 44% percent of APAC manufacturers plan to adopt smart manufacturing by next year. However, the biggest barriers to adopting smart manufacturing are employees’ resistance to technology adoption and change lack of skill set to manage and implement the technology, and lack of clear definition of the value and the return of investment of the implementation of smart manufacturing. As a result, 88% of APAC manufacturers plan to maintain or grow employment due to technology adoption.

According to Precedence Research, the global smart manufacturing market is projected to grow at an impressive CAGR of 16% during the forecast period 2023. The global smart manufacturing market size was valued at USD 226.3 billion in 2022 and is expected to reach USD 985.5 billion by 2032. The market growth is driven by increasing demand for connected supply chains and knowledge-based manufacturing that are equipped with advanced modeling, sensing, control, and simulation capabilities. With the advent of the Internet of Things (IoT) revolution, there has been a significant transformation in the manufacturing sector in the form of automation and digitization. Further, cloud technology, the Industrial Internet of Things (IIoT), and industrial analytics are anticipated to play an important role in the proper growth of the market.

The Asian Pacific smart manufacturing market size was estimated at USD 83.73 billion in 2022 and is projected to surpass USD 364.61 billion by 2032, growing at a CAGR of 15.9% from 2023 to 2032. Moreover, the Asia Pacific region holds the largest market share of around 37% in 2022 and is also predicted to hit as the fastest-growing region over the forecast period 2023 – 2032. Smart manufacturing has been gaining momentum in the Asia Pacific region in recent years. In addition, industries face increasing regulatory demands concerning product safety, quality standards, environmental impact, and data privacy. Smart manufacturing technologies play a crucial role in helping manufacturers adhere to these regulations through real-time monitoring, traceability, and quality control mechanisms. As a result, government initiatives and compliance to support digitalization are expected to drive significant growth in the smart manufacturing industry in the region. 

Conclusion

The challenge to begin may seem daunting. As ASEAN countries consider how to build their smart factory, they can begin with investments with a focus on specific opportunities. Once identified, digitalization and insight generation fuel actions that can drive new value. Building and scaling the smart factory, however, can be as agile and flexible as the concept itself. Manufacturers can get started down the path to a truly smart factory at any level of their network creation can begin with the scale from a single asset, and use an agile approach to iterate and grow. It can be more effective to start small, test out concepts in a manageable environment, and then scale once lessons have been learned. The solution can scale to additional assets, production lines, and factories, thus creating a potentially exponential value-creation opportunity.

Article by: Asst. Prof. Suwan Juntiwasarakij, Ph.D., Senior Editor & MEGA Tech

スマート ファクトリーはデジタル投資の集大成であり、最先端のテクノロジーが集結して生産プロセスを変革する。これらは高度に自動化され相互接続されておりモノのインターネット (IoT)、人工知能、ロボット工学、積層造形技術、リアルタイム データ分析を活用して運用を最適化する。東南アジアの先進的製造業起業家の殆どはシンガポールをその拠点としているがこれは特にシンガポール政府によるインダストリー 4.0 の発展に対する強力な支援と高度な熟練労働力の努力の結果。同地域では自治体だけでなく大企業もスマートファクトリーの推進を主導している。

タイの製造業はスマートファクトリーの概念を採用し始めている。このような動きは主に大規模な多国籍企業や複合企業の影響を受けている。同国は労働集約的な工場からより洗練された生産方法に重点を移しつつる。主な変化には伝統的な部門の進化、部品メーカーとの緊密な連携、航空整備や医療観光などの新興産業への政府支援による投資、スマートファクトリー向けのインフラ改善への投資などが含まれる。政府はまた税制優遇措置により中小企業がより競争力のある製造慣行を採用するよう奨励している。

東南アジアは低コスト、専門スキル、そして西洋市場およびにアジア市場への比較的自由なアクセスを兼ね備えているため新しい工場の立地先の主な候補だ。生産性調整後の賃金率の観点からインドネシア、マレーシア、フィリピン、タイなどの ASEAN 諸国は世界で最も競争力のある国にランクされている。ボストン コンサルティング グループ (BCG)はASEAN の製造業の生産高は 2030 年までに更に年間 4,000 億ドル増加して 6,000 億ドルになると推定している。しかしアジア太平洋地域の製造業の45%以上はイノベーション、熟練した労働力、テクノロジーの欠如や不足のため競合他社を追い抜くのに苦労していると報告されている。ロックウェル・オートメーションのレポートによればアジア太平洋地域の製造業者の44%が来年までにスマート製造を導入する予定との事だ。しかしスマート製造の導入に対する最大の障壁はテクノロジーの導入と変更に対する従業員の抵抗やテクノロジーを管理および装備するためのスキルセットの欠如およびにスマート製造の実装の価値と投資収益率の明確な定義の欠如だ。その結果APACの製造業者の88%はテクノロジーの導入により雇用を維持または拡大する考えだ。

Precedence Research によると世界のスマート製造市場は2023 年には16% という驚異的なCAGRで成長すると予測されている。世界のスマート製造市場規模は 2022 年現在では2,263 億米ドルと評価され2032年までには9,855 億米ドルに達すると予想されている。市場の成長は高度なモデリング、センシング、制御、シミュレーション機能を備えた接続されたサプライ チェーンと知識ベースの製造に対する需要の増加によって推進される。モノのインターネット (IoT) 革命の到来により製造部門では自動化とデジタル化という形で大きな変革が起こった。更にクラウド テクノロジー、産業用モノのインターネット (IIoT)、産業分析が市場の適切な成長に重要な役割を果たす事が予想される。

アジア太平洋地域のスマート製造市場規模は2022年は837 億 3,000 万米ドルと推定され2032 年までには3,646 億 1,000 万米ドルを超え2023 年から 2032 年にかけて 15.9% の CAGR で成長すると予測されている。アジア太平洋地域は最大の市場シェアを有しておりその数字は2022 年には約 37% となり2023 年から 2032 年の間に渡って最も急成長する地域になると予測されており近年アジア太平洋地域ではスマート製造の勢いが増している。更には業界は製品の安全性、品質基準、環境への影響、データプライバシーに関する規制当局の要求の増大に直面している。スマート製造テクノロジーはリアルタイムの監視、トレーサビリティ、品質管理メカニズムを通じてメーカーがこれらの規制を順守できるよう支援する上で重要な役割を果たす。その結果デジタル化をサポートするための政府の取り組みとコンプライアンスがこの地域のスマート製造業界の大幅な成長を促進すると予想される。 

結論

これらチャレンジングな事を始めるのは困難に見えるかもしれないがASEAN諸国はスマートファクトリーの構築方法を検討する際特定のオポチュニティーに焦点を当てた投資から始める事が可能だ。それが何かを特定できたらデジタル化と洞察の生成により新しい価値を推進できるアクションが促進される。そしてスマート ファクトリーの構築と拡張はそのコンセプトと同じくらい機敏かつ柔軟に行うことが可能だ。製造業者はネットワークのあらゆるレベルで真のスマートファクトリーへの道を進める事ができ単一の資産の規模から開始しアジャイルなアプローチを使用して反復して成長させることが可能。小規模から始めて管理しやすい環境でコンセプトをテストし教訓を学んだ後に規模を拡大する方がより効果的だ。このソリューションは追加の資産、生産ライン、工場にも拡張できるため潜在的に指数関数的な価値創造の機会が生まれる。

Article by: Asst. Prof. Suwan Juntiwasarakij, Ph.D., Senior Editor & MEGA Tech