Article by: Asst. Prof. Suwan Juntiwasarakij, Ph.D.

ผลการศึกษาจาก McKinsey เมื่อไม่นานมานี้แสดงให้เห็นว่า Industry 4.0 ถูกนำมาใช้อย่างมีนัยสำคัญในสถานการณ์โรคระบาด พบว่าธุรกิจห้างร้านที่ประยุกต์ใช้แนวคิด Industry 4.0 มาใช้กับการดำเนินกิจการตั้งแต่ก่อนเกิดการระบาด มีความสามารถในการรับมือกับวิกฤตได้ดีกว่ากิจการที่ไม่ได้ประยุกต์ใช้แนวคิด Industry 4.0

บริษัทสินค้าบรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคในเอเชียที่สร้างระบบห่วงโซ่อุปทานแบบ digital twin ก่อนที่จะเกิดการระบาดใหญ่ ซึ่งระบบดังกล่าวนี้สามารถนำมาจำลองสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในภาวะโรคระบาด จึงทำให้สามารถเตรียมความพร้อมต่อเหตุการณ์ เช่น การปิดสายการผลิตผลิตอย่างกะทันหันหรือการขาดแคลนวัตถุดิบ ส่วนผู้ผลิตอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ในอีกฝากโลกทวีปอเมริกาเหนือก็ได้เพิ่มกำลังการผลิตโดยการติดตั้งสายการผลิตใหม่ โดยอาศัยเทคโนโลยีความจริงเสริมเพื่อให้กระบวนการผลิตสำเร็จลุล่วงไปได้

สำหรับธุรกิจที่ยังไม่มีระบบการผลิตแบบ Industry 4.0 ก็แย่หน่อย เพราะภาวะเชื้อโรคระบาดในครั้งนี้ถือว่าเป็น “wake-up call” ก็ว่าได้ จากการสำรวจของ McKinsey พบว่าธุรกิจเหล่านี้ไม่เพียงพบว่าตัวเองกำลังตกที่นั่งลำบากเท่านั้น แต่ยังรุมเร้าด้วยความอ่อนประสบการณ์ในการรับมือ ความล้าหลังทางเทคโนโลยี และกระแสเงินขาดสภาพคล่อง สิ่งที่เหล่านี้ทำให้ไม่สามารถตามธุรกิจที่มีระบบการผลิตแบบ Industry 4.0 ได้ทัน โดยสรุปแล้วร้อยละ 56 ของกิจการที่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยี Industry 4.0 ก่อนที่จะเกิดการระบาด พบว่าตัวเองมีข้อจำกัดขีดความสามารถในการจัดการวิกฤตการณ์โรคระบาด ทั้งนี้เนื่องจากขาดเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อมาสนับสนุน

กิจการที่ตัดสินใจชะลอโครงการ Industry 4.0 ไว้ชั่วคราวในช่วงแรกที่เชื้อไวรัสเริ่มระบาด ก็ได้ประสบกับปัญหานานับประการ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดจากการกักกันตัว การนำระบบการทำงานแบบทางไกลเข้ามาใช้ ภาวะขาดสภาพคล่องของกระแสเงินสด ปัญหาเหล่านี้ทำให้กิจการห้างร้านไม่สามารถโฟกัสไปที่การดำเนินโครงการ Industry 4.0 ต่อได้ อย่างไรก็ดี พบว่าธุรกิจ 1/3 ในประเทศจีนสามารถฟื้นตัวอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาเพียงปีเดียวหรือปีกว่า ๆ

ในภาวะการณ์เช่นนี้ ความคล่องตัวและความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงานได้มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ในลำดับต้นๆ โดยมีความสำคัญเหนือการเพิ่มผลผลิตและการลดต้นทุนซึ่งเดิมที่มีความสำคัญสูงสุด ในทำนองเดียวกันเทคโนโลยีเพื่อการทำงานร่วมกันจากระยะไกลได้กลายมาเป็นเทคโนโลยีที่ความสำคัญในลำดับต้นๆ ในบริษัทที่มีเทคโนโลยี Industry 4.0 และพบว่ามากกว่าครึ่งของบริษัทในกลุ่มนี้ได้พัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีดังกล่าวอยู่ ณ เวลาปัจจุบัน สำหรับเทคโนโลยีที่สำคัญเป็นอันดับที่สองและอันดับที่สาม คือ เทคโนโลยีสนับสนุนการทำงานร่วมกันและ เทคโนโลยีสนับสนุนความโปร่งใสในกระบวนการห่วงโซ่อุปทานแบบต้นน้ำจรดปลายน้ำซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการจัดการโครงข่ายอุปทานมีลักษณะที่ผันผวนและกระจาย

TAKE-HOME MESSAGE

เราต่างเป็นพยานได้รับรู้รับทราบว่าธุรกิจทั่วโลก ล้วนเผชิญการเปลี่ยนแปลงที่สร้างความลำบาก มีบ้างที่บางกิจการได้ชะลอหรือแม้แต่หยุดการดำเนินการที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี Industry 4.0 อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อยากจะฝากไปถึงไม่ว่าจะเป็นกิจการใดก็ตาม ขอให้อย่าหยุดความตั้งใจที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้พัฒนาตนเอง

Article by: Asst. Prof. Suwan Juntiwasarakij, Ph.D.

Recent study shows that industry 4.0 technologies have significantly been utilized in response to the pandemic, according to McKinsey. Companies that had scaled industry 4.0 use cases prior to the pandemic found themselves better positioned to respond to the crisis.

A consumer-packaged goods company in Asia has built a digital twin of its supply chain before the pandemic. It was able to use that to run multiple scenarios during the pandemic, preparing itself for sudden shutdowns of manufacturing locations or disruptions in raw-material supply.

On the opposite side of the globe, a personal-protective-equipment ( PPE ) manufacturer in North America, in the process of increasing its capacity by installing a new manufacturing line, was able to commission the line using augmented reality-based remote assistance for project execution.

Unfortunately, companies that had not implemented Industry 4.0 prior to the pandemic have had a wake-up call. McKinsey’s survey indicates that not only did they find themselves struggling during the pandemic, but also the absence of past experience, lagging underlying IT/OT technology stacks, and the cash constraints are making it difficult for them to catch up. In sum, 56 percent of the executives that had not implemented industry 4.0 technologies prior to the pandemic found themselves constrained in their ability to respond to the pandemic in the absence of digital technologies to support them.

Companies that have paused Industry 4.0 projects since the onset of the pandemic of the pandemic cite a range of challenges, including access difficulties due to lockdowns and the introduction of remote working, cash constraints, and teams being diverted to other urgent issues. With the exception of China, where more than one-third of companies in our survey expect recovery to take a year or more.

Given the unique circumstances of the pandemic, agility and flexibility in operations have emerged as top strategic priorities above raising productivity and minimizing cost, which used to be the primary objective for most. Similarly, technologies that enable remote working and collaboration topped the list of priority Industry 4.0 use cases, with more than half of companies working on projects in that area. In second and third place came technologies to aid collaboration and visibility across the end-to-end supply chain, reflecting the need to manage volatile and disrupted supply networks.

TAKE-HOME MESSAGE

We have witnessed businesses across the world facing a painful transition to the post-pandemic reality, some companies may be tempted to slow, or even pause, their industry 4.0 transformations. However, the very remark offered is that businesses still need to continue focusing on digital efforts.

Article by: Asst. Prof. Suwan Juntiwasarakij, Ph.D.

マッキンゼーによる最近の調査では、パンデミックに対応してインダストリー4.0テクノロジーが大幅に活用されているとの事だ。パンデミックの前にインダストリー4.0の使用範囲を拡大した企業は危機への対応で有利な立場に立っていた。

アジアの消費財販売企業はパンデミックの前にサプライチェーンのデジタルツインを構築。これを使用して、パンデミック時に複数のシナリオを実行し製造所の突然の閉鎖や原材料供給の中断に備える事ができた。

地球の反対側の北米の個人用保護具（PPE）メーカーでは新たな製造ラインを設置して容量を増やす過程において拡張現実ベースのプロジェクトの実行でリモートアシスタンスを使用してラインの試運転を行なった。

しかし、パンデミックの前にインダストリー4.0を実施していなかった企業は慌てふためいた。マッキンゼーの調査によればこれら後れを取った企業はパンデミックの最中に四苦八苦しただけでなく、まだこれらの実施に関して何の経験もなく、基盤となるIT / OTテクノロジーの編成に遅れており、更には資金の制約により先行企業群に追いつくのが困難な状況だとの事である。要するにパンデミックの前にインダストリー4.0テクノロジーを実装していなかった企業エグゼクティブの56％は、自社にパンデミックに対応するデジタルテクノロジーが無かったためにパンデミックのインパクトを軽減する能力に制約があった事にようやく気付いたのであった。

パンデミックの発生以降においてインダストリー4.0プロジェクトを一時見送りにした企業はロックダウンや在宅勤務の導入によるアクセスの困難、資金のの制約、チームの人員を他の緊急の問題処理に対応させざるを得ないなど様々な課題を挙げている。中国のそれらを除いた調査対象企業の3分の1以上が回復に1年以上かかると予想している。

今回のパンデミックの特異な状況を考慮すればそれまでは最も重要視されていた生産性向上とコスト最小化などに勝る事業運営の敏捷性と柔軟性が戦略上の最優先事項として見えてきた。同において最優先事項としてリストのトップに明記され、企業の半数以上がこの分野のプロジェクトに取り組んでいる。2位と3位には不安定で混乱状態に陥っているサプライネットワークを管理する必要性を反映してのエンドツーエンドのサプライチェーン全体でのコラボレーションと状況の見える化を支援するテクノロジーが明記された。様にリモートワークとコラボレーションを可能にするテクノロジーはインダストリー4.0の採用

結論

我々はパンデミック後の厳しい現実に合った体制への移行を余儀なくされている世界中の企業を目の当たりにしてきた。企業によってはインダストリー4.0の変革を遅らせざるを得なかったり、最悪の場合には一時的に見送らざるを得ない可能性がある。しかしそんな状況下にも拘らず誰もが口々にする事は、企業は依然としてデジタルの取り組みに焦点を当て続ける必要があるという事だ。