Article by: MEGA Tech Magazine
ด้วยมูลค่าการลงทุนของการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ทั้งภาครัฐและเอกชน ภายในระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2019-2024 อยู่ที่ 1.7 ล้านล้านบาท โดยครอบคลุมทั้งโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมทั้ง การศึกษา สิ่งแวดล้อม สาธารณูปโภค และการพัฒนาชุมชน เป็นต้น โดยมีเป้าหมายของการขับเคลื่อนการลงทุนก็เพื่อ
- ให้อัตราการขยายตัวการลงทุนของประเทศเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 10 ต่อปี
- ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 2 ต่อปี
- ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวอยู่ที่ระดับร้อยละ 5 ต่อปี ยกระดับศักยภาพและความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศ
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณที่ดีต่อการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมไทยในอีกด้านหนึ่งที่กำลังพัฒนาและขับเคลื่อนภายใต้ภาวะโควิด-19 และการขับเคลื่อนของเศรษฐกิจโลก เพื่อเป็นการยืนยันถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างประเทศ
โดยอีกด้านหนึ่งของการทำงานภายใต้ EEC คือ การพัฒนาบุคลากรและการศึกษาเพื่อสอดรับและสนับสนุนการจ้างงาน และการลงทุนที่กำลังจะเกิดขึ้น MEGA Tech ฉบับนี้ ได้มีโอกาสพูดคุยกับ ดร.อภิชาติ ทองอยู่ ที่ปรึกษาเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และประธานคณะทำงานประสานงานด้านการพัฒนาบุคลากรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC-HDC) ในประเด็นมาตรการพิเศษที่สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน และอัพเดทการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์หลักในการผลิตกำลังคน ตามความต้องการบุคลากรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกจำนวน 475,668 อัตราภายใน 5 ปี
ใช้มาตรการพิเศษพัฒนาทักษะยานยนต์ช่วงโควิด-19
ดร.อภิชาติ เริ่มต้นกล่าวถึงภาพของ EEC ในอีก 5 ปีข้างหน้าว่า เมื่อโครงการก่อสร้างพื้นฐานดำเนินการเสร็จสิ้นลง EEC จะเป็นภูมิประเทศที่เป็นฐานกำลังในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมของประเทศ ทั้งความพร้อมของสนามบิน ท่าเรือ รถไฟความเร็วสูง เป็นต้น ร่วมกับมาตรการต่างๆ ที่ขับเคลื่อนไปพร้อมกัน
สำหรับ EEC HDC หรือ EEC Human Development Center เป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องการพัฒนาบุคลากรและการศึกษาใน 3 จังหวัด นั่นคือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง โดยดูแลโรงเรียนทั้งหมด 385 โรงเรียน โรงเรียน ระดับอาชีวศึกษา 48 แห่ง และ 8 มหาวิทยาลัยก็สนับสนุนทางด้านนี้อย่างเต็มที่ ทั้งมาตรการพิเศษต่างๆ ที่ดำเนินการควบคู่ไปนโยบายหลัก
โดยมาตรการพิเศษที่กำลังขับเคลื่อนในขณะนี้ คือ การพัฒนาฝีมือของแรงงานในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยการพัฒนาบุคลากรที่อยู่ในกลุ่มเทียร์ 2 และเทียร์ 3 ให้อยู่บนแพลทฟอร์มของอุตสาหกรรม 4.0 โดยที่มีแรงงานจำนวนร่วม 3 แสนคน ที่จะต้องได้รับการสนับสนุนและพัฒนาทักษะ ซึ่งตั้งเป้าให้แล้วเสร็จภายในปี 2564 โดยขณะนี้เราได้ร่วมกับสถานประกอบการร่วม 500 แห่งด้วยกัน
เหตุที่ต้องดำเนินมาตรการพิเศษนี้เนื่องด้วยการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีที่กำลังก้าวเข้าสู่ยานยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle บุคลากรจึงต้องมีทักษะที่มากขึ้นและแตกต่างไปจากเดิมจึงจะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและไม่ต้องประสบปัญหาการตกงาน มาตรการพิเศษนี้จึงขับเคลื่อนโดยเฉพาะในขณะนี้ เพื่อที่ว่าเมื่อมีการฟื้นตัวอย่างเต็มที่จากภาวะโควิด-19 บุคลากรในกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ก็จะมีความพร้อมในทันที นอกจากกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์แล้ว กำลังเริ่มดำเนินการกลุ่มอุตสาหกรรมอากาศยาน และรวมถึงกลุ่มอื่นๆ ในช่วงเวลาถัดไป
EEC HDC เดินหน้า EEC MODEL เต็มกำลัง
ดร.อภิชาติ กล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินงานหลักของทาง EEC HDC ในยุทธศาสตร์การพัฒนา EEC ภายในระยะเวลา 5 ปี โดยมีงบประมาณในการดำเนินการปีละ 600-800 ล้านบาท โดยได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2562 โดยมีแก่นการดำเนินงานเพื่อมุ่งเป้าสู่การพัฒนาบุคลากรเพื่อตอบโจทย์การขาดแคลนแรงงานใน 12 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย นั่นคือ 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายเดิม ซึ่งประกอบด้วย ยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และการแปรรูปอาหาร สำหรับ 7 อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ประกอบด้วย หุนยนต์ การแพทย์และสุขภาพครบวงจร การบินและโลจิสติกส์ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ดิจิทัล การป้องกันประเทศ และการพัฒนาบุคลากและการศึกษา โดยพัฒนาทักษะเดิมให้ดียิ่งขึ้น และการผลิตกำลังคนให้สอดรับกับความต้องการโดยเป้าอยู่ที่ 475,668 อัตรา
ดังนั้น โจทย์ใหญ่ คือ ต้องพัฒนาระบบการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการทางด้านแรงงานและการตลาด EEC HDC จึงได้มีการขับเคลื่อนการดำเนินงานพัฒนาบุคลากรและการศึกษา ภายใต้นโยบาย Demand Driven ซึ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรและการศึกษายุคใหม่ โดยการออกแบบหลักสูตรและรูปแบบการเรียนการสอนให้ตรงต่อความต้องการของผู้ประกอบการอย่างแท้จริง โดยครอบคลุมทั้งกลุ่มการศึกษาพื้นฐานด้วยการปรับปรุงทักษะด้านภาษา และการศึกษาด้าน Coding, กลุ่ม STEM ขณะที่ระดับอาชีวะและอุดมศึกษา ปรับสู่ Demand Driven Education ที่มีการจัดการศึกษาในแบบ EEC Model โดยแบ่งเป็น Type A และ Type B
สร้างและพัฒนาบุคลการด้วยกลยุทธ์ Demand Driven
โดยที่ Type A คือ การออกแบบการเรียนการสอนกับผู้เรียนที่เรียนอยู่ทั้งอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา เป็นการออกแบบหลักสูตรความต้องการบุคลากรระหว่างสถานศึกษาร่วมกับทางสถานประกอบการ กล่าวคือ สถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการแสดงความประสงค์ต้องการแรงงานคนในรูปแบบใด และมีอัตราเท่าไร กับสถานศึกษานั้นๆ เมื่อผู้เรียนเรียนจบตามความต้องการนั้นๆ ก็เข้าไปทำงาน ณ สถานประกอบการ โดยที่สถานประกอบการจะเป็นผู้ออกค่าเล่าเรียนให้กับผู้เรียน 100% เต็มจำนวน ทั้งนี้ หากสถานประกอบการนั้นๆ ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ก็ไปสามารถลดหย่อนภาษีได้ 250%

ด้าน Type B คือ การศึกษาในลักษณะ Short Course โดยมีหลักสูตรตั้งแต่ 1 วัน-1 ปี เช่นเดียวกัน กล่าวคือ สถานประกอบการแจ้งความประสงค์ว่าต้องการแรงงานในลักษณะใด กี่อัตรา ระยะเวลาเท่าไร ก็ดำเนินการกะบวนการต่างๆ ตามขั้นตอน ซึ่งขณะนี้มีด้วยกันทั้งหมด 70 หลักสูตร โดยแบ่งออกเป็น
กลุ่มที่ 1: นักศึกษาในชั้นปีสุดท้ายใกล้จบ ที่ทางสถานประกอบการมีความต้องการเร่งด่วนก็สามารถที่จะเรียนในหลักสูตร Short Course แล้วเข้าไปทำงาน โดยสามารถที่จะพักการเรียนในระบบได้โดยคงสถานภาพไว้
กลุ่มที่ 2: กลุ่มแรงงานเดิมที่ต้องการพัฒนาทักษะเพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
กลุ่มที่ 3: ผู้ที่ต้องกรต้องการ Re-Skill พัฒนากลุ่มผู้ที่ตกงานคนที่ไม่ตรงสาขาที่จบ ขาดประสบการณ์การทำงาน
“ทั้ง Type A และ Type B ล้วนเป็นการดำเนินการในรูปแบบใหม่ที่เน้นความต้องการของภาคการผลิตเป็นหลัก ซึ่งจะช่วยทั้งแก้ไขปัญหาด้านแรงงานทั้งการตกงานและการขาดแรงงาน อีกทั้ง การพัฒนาของภาคอุตสาหกรรมก็สามารถต่อเนื่องไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้สร้างงานได้อย่างมีคุณภาพ พร้อมที่จะแข่งขันในตลาดโลก โดยผู้ประกอบการที่สนใจสามารถที่จะเข้ามาเพื่อที่จะเข้าโครงการต่างๆ เหล่านี้ได้ ทาง EEC HDC พร้อมที่จะวางแผนและพัฒนาไปพร้อมกัน”

“อย่างไรก็ตาม จากภาวะโควิด-2019 ก็พบว่ามีผลกระทบเชิงบวกในด้านของการลงทุน ด้วยการที่ต่างประเทศได้เห็นถึงการบริหารจัดการมาตรการการป้องกันการระบาดของโรคและมีความมั่นใจด้านสาธารณสุขของประเทศไทย จึงมีความเชื่อมั่นในการวางแผนการลงทุน ด้วยการส่งสัญญาณที่ต้องการเข้ามาลงทุนในเมืองไทยต่อไป” ดร.อภิชาติ กล่าวทิ้งท้าย สัญญาณที่ดีในหลายๆ เรื่องทั้งการดำเนินการของหน่วยงานภาครัฐกับการลงทุนในโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง การคลี่คลายสถานการณ์ของภาวะโควิดที่ทั่วโลกกำลังทยอยเข้าสู่ภาวะปกติ เป็นอีกขั้นหนึ่งที่ท้าทายให้ผู้ประกอบการต้องวิเคราะห์และมองสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้อย่างรอบด้าน เพราะสถานการณ์โควิดได้ให้บทเรียนของคำว่า “ปรับตัวและเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา” นั่นเอง