เปิดโลกเทคโนโลยี Data Management by JSR GROUP
JSR Group มุ่งมั่นสรรหาโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ความต้องการที่ดีที่สุดในทุกการเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรมในยุคแห่งการแข่งขันทางด้านอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการพัฒนาที่นำไปสู่ “อุตสาหกรรม 4.0” ระบบอัตโนมัติ เป็นเทคโนโลยีหลักที่ผู้ประกอบการต่างให้ความสนใจ แต่เทคโนโลยีอีกหนึ่งที่ได้รับความสนใจและได้รับการพิสูจน์จากโรงงานผลิตชั้นนำทั้งหลายแล้วว่า มันคือกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้อย่างมหาศาล เรากำลังกล่าวถึง ระบบการวัดและการจัดการข้อมูล (Measurement System & Data Management)
หากกล่าวถึงนักบริหารที่คร่ำหวอดในวงการเครื่องมืออุตสาหกรรมหนึ่งในนั้นจะต้องมีชื่อของคุณอรรณพ จิโรจจาตุรนต์ กรรมการ JSR GROUP อย่างแน่นอนซึ่งท่านได้ขยายคำจำกัดความถึงการพัฒนา และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดยอาศัย ระบบการวัดและการจัดการข้อมูล (Measurement System & Data Management) ได้อย่างน่าสนใจ
Q1: ทำไมอุตสาหกรรมจึงต้องให้ความสำคัญกับการตรวจวัดมากขึ้น
หากพูดถึงการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับวงการอุตสาหกรรมบ้านเรา คงหนีไม่พ้นเรื่องการเข้ามาของ “อุตสาหกรรม 4.0” คำถามที่เกิดขึ้นคือ “อุตสาหกรรม 4.0” นั้นคืออะไรต่างหาก ที่ต้องหยิบมาพูดกันเป็นเรื่องต้นๆ เพราะว่าภาพรวมของ ภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทยนั้นส่วนใหญ่ยังคงเป็นระบบ manual อยู่พอสมควร ฉะนั้นเมื่อมีการนำนวัตกรรมต่างๆ เข้ามามีผลอย่างยิ่งต่อการปรับตัวของทุกภาคส่วน อาทิ กระบวนการด้านการผลิต ด้านการตรวจสอบ ด้านการบริหารจัดการข้อมูลที่เป็น output ออกมาจากกระบวนการ หรือแม้กระทั่งเครื่องไม้เครื่องมือ และตัวผู้ปฏิบัติงานเองก็ตาม เพราะฉะนั้นการให้ความสำคัญกับการตรวจวัด มันจึงเป็นสิ่งสำคัญมากๆ เปรียบเหมือนการ scan ตัวเอง ให้รู้จุดที่ผิดปกติเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงที่มีประสิทธิภาพ
ฐานข้อมูลจากการผลิตจึงยิ่งมีความสำคัญและมีประโยชน์มากกว่าที่เราคิด ในอดีตเราเพียงนำข้อมูลที่ได้รับเพื่อเป็นการการันตีถึงคุณภาพของชิ้นงานและสายการผลิตเท่านั้น ซึ่งถือเป็นต้นทุนที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ แต่หากผู้ประกอบการมีการศึกษาและทำความเข้าใจกระบวนการวัดและการบริหารจัดการข้อมูลจะพบว่าหากเราเพิ่มเทคโนโลยีและเครื่องมือเพียงไม่กี่ชิ้นให้กับระบบการตรวจวัดและการจัดการข้อมูล เราจะพบว่า “benefit ที่ได้จาการลงทุนเรื่องระบบการตรวจวัด จะไม่ได้จำกัดแค่ในหน่วยงาน QC หรือ QA อีกต่อไปแต่จะกระจายไปทุกภาคส่วน”
Q2: ระบบการวัดและการจัดการข้อมูล (Measurement System& Data Management) มีหน้าที่อะไร
เราต้องเข้าใจก่อนว่า โดยปกติแล้วเมื่อผลิตชิ้นงานออกมา พนักงานจะทำหน้าที่ตรวจเช็คชิ้นงานด้วยเครื่องมือวัด เช่น คาลิปเปอร์ไมโครมิเตอร์หรือเครื่องมือวัดละเอียดอื่นๆจากนั้นจะนำข้อมูลที่ได้ไปคีย์ลงคอมพิวเตอร์ แล้วแสดงผลผ่านระบบปฏิบัติการพื้นฐานต่อไป กระบวนการที่ผมพูดถึงมันคือใช้คน คน แล้วก็คนล้วนๆจากวิธีการดังกล่าวนำมาซึ่งข้อมูลที่เต็มไปด้วยความคลาดเคลื่อน เสียเวลา เสียแรงงานและตามมาด้วยต้นทุนที่สูงกว่า แล้วผลสุดท้าย ข้อมูลเหล่านี้ไม่สามารถนำไปใช้งานต่อไปได้ ซึ่ง Data Management นั้นคือการนำเครื่องมือสื่อสารที่จะถูกติดตั้งกับเครื่องมือวัดขนาดเล็กเหล่านี้ เมื่อพนักงานตรวจวัด กดปุ่ม ระบบจะส่งข้อมูลผ่านอุปกรณ์ต่อพ่วง (ระบบ Wireless, Bluetooth และสายส่งสัญญาณ) ตรงเข้าไปที่คอมพิวเตอร์ส่วนกลางที่มีซอฟท์แวร์ในการควบคุมทันที ซอฟท์แวร์นี้จะทำการวิเคราะห์ผลจากการตรวจวัด ซึ่งหากเกิดความคลาดเคลื่อน หรือตรวจพบว่าชิ้นงานไม่ตรงตามมาตรฐาน ระบบจะทำการแจ้งเตือนไปยังผู้ปฏิบัติงานทันที ซึ่งทำให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถเข้าไปแก้ไขได้อย่างทันท่วงที
Q3: ผลลัพธ์ที่ได้จาก Measurement System & Data Management คืออะไร
จากที่กล่าวมาในข้างต้น เราจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีกว่าใน 3 ประเด็นนั่นคือ
- ประหยัดเวลา ใช้บุคลากรน้อยลง เพิ่มความสามารถในการตรวจวัด เมื่อเราเปรียบเทียบเราจะเห็นได้ชัดเจนว่าเราลดกระบวนการจดข้อมูล การคีย์ และการทำข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลได้ทันที ตัวอย่างเช่น จากผู้ปฏิบัติงานอย่างน้อย 3 คนเหลือบุคลากรที่ใช้ในการวัดเพียงคนเดียวเท่านั้น มีเวลาในการตรวจวัดเยอะขึ้น สามารถตรวจสอบชิ้นงานได้จำนวนมากขึ้น คุณภาพการผลิตที่เพิ่มตามไปด้วย
- ข้อมูลที่ได้เที่ยงตรง และเรียลไทม์ข้อมูลที่ได้เกิดจากการกดปุ่มเท่านั้น ดังนั้นจะไม่มีปัญหาเรื่องความผิดพลาดจากการตรวจวัดด้วยคนข้อมูลที่ได้ถูกส่งไปตรวจสอบทันทีแบบเรียลไทม์
- ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ดังที่กล่าวในข้างต้นเมื่อเกิดความผิดพลาดในการผลิต ผู้ปฏิบัติงานสามารถตรวจสอบความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ทันที ชิ้นงานที่เสียหายไม่ได้ถูกผลิตต่อ และไม่ถูกส่งต่อในกระบวนการต่อไปซึ่งลดความเสียหายได้อย่างมหาศาล ไม่จะเป็นต้องผลิตชิ้นงานเผื่อความเสียหายอย่างที่เคยทำในอดีตอีกต่อไป ซึ่งถ้าเทียบกับวิธีเก่า กว่าเราจะพบความเสียหายจากการผลิตชิ้นงานก็ถูกผลิตไปจนจบกระบวนการแล้ว ต้องกลับมาผลิตชิ้นงานแก้ไขเพิ่มเติม เสียทั้งเวลา และเพิ่มต้นทุนอย่างมหาศาล
ในทุกๆการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีนั้นแน่นอนว่าอาศัยการลงทุน แต่สิ่งที่ผมอย่างจะบอกนั่นคือ การลงทุนในระบบ Data management ถือว่าเป็นการลงทุนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับความคุ้มค่าที่คุณจะได้รับในระยะยาว ซึ่งทาง JSR Group เรามีประสบการณ์ความรู้ความเชี่ยวชาญที่จะสามารถหาโซลูชั่นที่ดีที่สุดในการวางระบบ Data Management ให้กับลูกค้าของเรา เรานำสิ่งที่มีอยู่แล้วในโรงงาน มาทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบนี้เป็นการวางรากฐานเบื้องต้นที่จะทำให้อุตสาหกรรมสามารถพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้อย่างยั่งยืนต่อไป
