จับตาเทคโนโลยีที่กำลังจะพูดถึงในบทความนี้ให้ดี การ์ตเนอร์ได้พยากรณ์ว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ประสบการณ์แบบดื่มด่ำ ฝาแฝดดิจิทัล การคิดเชิงเหตุการณ์ และความมั่นคงปลอดภัยแบบทันท่วงที จะเป็นดั่งรากฐานของโมเดลธุรกิจดิจิทัลต่อไปในอนาคต สำหรับบทความนี้ แนวโน้มของเทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์เพื่อการประกอบธุรกิจในปี 2018 แบ่งออกเป็น 3 ประเด็นได้แก่ Intelligence Digital และ Mesh

Trend #1: Artificial Intelligence (AI)
เป็นไปได้ว่าระบบปัญญาประดิษฐ์เฉพาะทางได้แทรกซึมฝังตัวร่วมกับเกือบจะทุกเทคโนโลยีบนโลก จะทำให้ระบบนิเวศน์ของการทำงานแบบอัตโนมัติที่คล่องตัวขึ้นมาในไม่ช้า จากนี้ไปจนถึงปี 2025 การใช้ประโยชน์จากระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ในการเพิ่มสมรรถภาพการตัดสินใจ การรื้อสร้างโมเดลทางธุรกิจและระบบนิเวศน์ทางธุรกิจ และการออกแบบประสบการณ์ผู้บริโภค จะเป็นตัวขับให้เกิดผลคุ้มทุนสำหรับการลงทุนทางดิจิทัล ภาคธุรกิจเอกชนเองต่างก็ให้ความสนใจที่จะลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลนี้อย่างจริงจังและกว้างขวาง
แม้ว่าการใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์อย่างถูกต้องเหมาะสมจะนำไปสู่ผลตอบแทนอันคุ้มค่ามหาศาลทางเทคโนโลยีดิจิทัลแก่ธุรกิจนั้น คำมั่นสัญญาที่ว่าระบบปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (General AI) ซึ่งเป็นระบบที่มีความสามารถทำงานที่อาศัยความการประมวลผลทางสติปัญญาและมีความสามารถในการเรียนรู้อย่างยืดหยุ่นเฉกเช่นพฤติกรรมการเรียนรู้ของมนุษย์นั้น เป็นนิมิตหมายความคาดหวังว่าที่มีต่อความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในปัจจุบันนี้ยังเป็นระบบปัญญาประดิษฐ์แบบเฉพาะทางที่ใช้เทคนิคการเรียนรู้ของเครื่องจักร (machine-learning) ซึ่งมีข้อจำกัดในแง่ขอบเขตของงานที่ทำหรือปัญหาที่แก้ได้ ด้วยอัลการิธึมที่ออกแบบมาอย่างเฉพาะเจาะจงเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพที่เป็นที่ยอมรับได้
(Source: Deloitte Analysis)
แอปพลิเคชั่นที่มีระบบปัญญาประดิษฐ์นี้ นำเอาปัญญาประดิษฐ์ไปใช้งานเป็นในลักษณะที่เป็นส่วนต่อเชื่อมระหว่างผู้ใช้งานและระบบงานแอปพลิเคชั่น ลักษณะนี้เองที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของโครงสร้างงานและสถานที่ทำงาน ซึ่งท่านอาจเคยได้เห็นหรือได้ยินมาบ้างในรูปแบบของให้บริการแบบเสมือนแก่ลูกค้า เช่น ผู้อำนวยความสะดวกแบบเสมือน ผู้คำปรึกษาแบบเสมือน หรือผู้ให้ความช่วยเหลือแบบเสมือน เมื่อระบบปัญญาประดิษฐ์ได้รับการยอมรับผนวกเข้ากับเทคโนโลยีอย่างแพร่หลายและกว้างขวาง ความคาดหวังที่มีต่อปัญญาประดิษฐ์ก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว จากเดิมที่ปัญญาประดิษฐ์สามารถทำได้ด้วยตัวเองตามลำพัง มาสู่ปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถทำงานและประสานงานร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ในอุปกรณ์อื่นทั้งที่ต้องการหรือไม่ต้องการอินพุตจากมนุษย์ เพื่อร่วมกันทำงานหรือร่วมกันแก้ไขปัญหาที่ได้รับมอบหมาย แนวคิดนี้ได้รับการสานต่อนำไปใช้งานจริงทางการทหารซึ่งกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้อุปกรณ์สอดแนม “โดรน” เพื่อการโจมตีแบบกลุ่ม ซึ่งได้นำมาจัดแสดงในงานคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอกนิกส์ CES ที่ผ่านมา
Trend #2: Digital Twins
เทคโนโลยีความจริงแบบเสริม (augmented reality: AR) เทคโนโลยีความจริงแบบเสมือน (virtual reality: VR) และเทคโนโลยีความจริงแบบผสาน กำลังเข้ามาเปลี่ยนการรับรู้และรูปแบบของการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ที่มีต่อโลกดิจิทัล
แฝดดิจิทัลคือการนำเสนอวัตถุหรือระบบที่มีตัวตนอยู่จริงในรูปแบบดิจิทัล ในบริบทของการนำไปใช้งานจริงนั้น ระบบแฝดดิจิทัลถูกเชื่อมต่อเข้ากับวัตถุจริงที่มีคุณสมบัติทางกายภาพและสามารถทำงานได้จริง การสั่งการหรือควบคุมทางฝั่งดิจิทัลจะทำให้เกิดงานจากการทำงานจริงทางฝั่งกายภาพ หลักการทำงานเช่นนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในบางสถานการณ์ จากการประมาณการณ์ที่ว่าภายในปี 2020 จะมีอุปกรณ์กว่า 21 ล้านอุปกรณ์เชื่อมต่อด้วยแนวคิด IoT (Internet of Things) สิ่งที่จะตามมาคือคู่แฝดของอุปกรณ์เหล่านี้เป็นจำนวนกว่า 21 คู่ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการสินทรัพย์ เพิ่มคุณค่าในแง่ของประสิทธิภาพการทำงานและยังช่วยค้นพบข้อมูลเชิงลึกอันนำไปสู่การพัฒนาและปรับปรุงสินค้าและบริการ
(Source: Deloitte Analysis)
Trend #3: Mesh
การผสาน คือ การเชื่อมต่อระหว่าง ผู้ใช้ ธุรกิจ อุปกรณ์ เนื้อหา และบริการ เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์แบบดิจิทัล ธุรกรรมทางธุรกิจ เช่น การสั่งซื้อ จะกลายเป็น business event ที่สามารถจับและตรวจจับได้ ซึ่งสามารถนำไปสร้างเป็น business moment ซึ่งนำไปสู่ชุดการทำงานที่เรียกว่า business action และ business moment นี้เองที่เป็นประโยชน์และเป็นที่ต้องการของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกิจกรรมทางธุรกิจนั้นๆ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องนี้อาจจะเป็นตัวแอปพลิเคชั่นหรือหุ้นส่วนทางการค้าก็ได้

(Source: Cisco CloudLock)
อย่างไรก็ดีธุรกิจยุคดิจิทัลมีความยุ่งยากและความปลอดภัยก็เป็นหนึ่งในปัจจัย การใช้เครื่องมือกลไกลที่มีความซับซ้อนสูงกลับทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก การประเมินความเชื่อมั่นและความเสี่ยงอย่างทันท่วงทีจะทำให้กระบวนการตัดสินใจและตอบสนองทางธุรกิจดิจิทัลมีความคล่องตัวและปลอดภัย การรักษาความปลอดภัยในรูปแบบเดิมที่อาศัยการครอบครองและควบคุมจะไม่สามารถทำงานได้ในโลกดิจิทัลอย่างแน่นอน การรักษาความปลอดภัยเช่นนี้เน้นย้ำที่พฤติกรรมของผู้ใช้ระบบ และยังกระจายอำนาจความรับผิดชอบให้แก่ผู้ดูแลระบบเพื่อประโยชน์ต่อการต่อตอบสนองต่อภัยคุกคาม