Manufacturing Trends

Vietnam for the New Ride. Driving into the Rough Road

Vietnam for the New Ride. Driving into the Rough Road
Share with

การลงสนามครั้งใหม่ของเวียดนาม การขับเคลื่อนที่มีอุปสรรค​

การเพิ่มขึ้นของกลุ่มผู้บริโภค: การมุ่งสู่การใช้จ่ายมากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงของกลุ่มผู้บริโภคที่เติบโตขึ้นนี้เป็นสิ่งที่ประจักได้ชัดทุกแห่ง และชาวเวียดนามเองก็มองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับความมั่งคั่งและร่ำรวยที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต กลุ่มผู้บริโภคไม่ได้เป็นเพียงส่วนสำคัญของตลาดเท่านั้น เขาเป็นลูกค้าประจำหลักของธุรกิจที่กำลังเติบโตจำนวนมากซึ่งดำเนินธุรกิจต่าง ๆ ในทุก ๆประเภทในเวียดนามขณะนี้ การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของกลุ่มประชากรผู้บริโภคกลุ่มใหม่นี้กำลังจะเป็นการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของวิถีการดำเนินชีวิตในสังคมเวียดนาม ในขณะประชากรกลุ่มนี้เองก็มุ่งมั่นที่จะมีจะยกระดับมาตรฐานการครองชีพสูงขึ้นและบริการให้มีคุณภาพที่ดีขึ้น หรืออาจจะกล่าวได้ว่าประชากรกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มนี้ที่เพิ่มขึ้น พวกเขาคือเครื่องยนต์ของเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วของเวียดนาม

โดยการนิยามของประชากรกลุ่มผู้บริโภคนี้ กำหนดโดยรายได้ต่อเดือนเป็นเงิน 15 ล้านดองหรือมากกว่า (โดยประมาณ 700 เหรียญสหรัฐ) ซึ่งเป็นประชากรที่มีกำลังซื้อที่สำคัญ ในปี 2020 ประเทศคาดว่าจะมีประชากรกลุ่มนี้ถึง 44 ล้านคน* (ข้อมูลจากบริษัท Boston Consulting Group) นี่ก็คือสี่สิบเปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมดของประเทศซึ่งคาดว่าจะถึง 97 ล้านคน ตัวเลขนี่เป็นแม่เหล็กในการสร้างแรงดึงดูดให้ธุรกิจต่าง ๆ เปิดการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าปลีกและอื่น ๆ ในเวียดนามเพื่อรอรับกำลังการใช้จ่ายของผู้บริโภคชาวเวียดนาม

ไม่เพียงแต่ตัวเลขที่เพิ่มจำนวนขึ้นเท่านั้น แต่อิทธิพลของประชากรกลุ่มผู้บริโภคที่กำลังเติบโตส่งผลให้เห็นได้ในหลายสาขากลุ่มการตลาดธุรกิจ ผู้บริโภคชาวเวียดนามมีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตนอย่างรวดเร็ว และพวกเขาก็ต้องการที่จะใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อสิ่งของที่มีมูลค่าที่สูงขึ้นและซับซ้อนขึ้นเพื่อพัฒนาชีวิตและครอบครัว รวมถึงกลุ่มยานยนต์เมื่อเทียบกับชามเวียดนามในรุ่นบุกเบิกก่อนหน้านี้ซึ่งยังขึ้นอยู่กับรถมอเตอร์ไซค์ในการเดินทางเป็นหลัก

Thailand&Vietnam GDP Special report
Source: World Bank

ถ้าจะกล่าวถึงตลาดรถยนต์ ชาวเวียดนามเองก็เริ่มปรับตัวและวิถีชีวิตตัวเองไปอย่างช้า ๆ ที่จากเดิมซึ่งยังต้องเพิ่งพาการเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์เป็นหลัก มาสู่รถยนต์เพื่อตอบสนองความต้องการและการเติบโตของครอบครัว อย่างไรก็ดีอุตสาหกรรมยานยนต์ในเวียดนามยังคงมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน สำหรับตลาดรถยนต์และการผลิตรถยนต์ภายในประเทศ แต่ถึงกระนั้นเวียดนามถือว่าเป็นประเทศที่มีประชากรวัยเยาว์และแรงงานที่สูง ซึ่งปัจจัยนี้เอง จะเป็นโอกาสที่ยังมีศักยภาพที่สามารถเพิ่มการเติบโตและโอกาสทางธุรกิจเมื่อเทียบกับตลาดประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย ซึ่งกำลังจะเผชิญกับวิกฤตประชากรผู้สูงอายุ

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เวียดนามพยายามให้มีการสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ขึ้น แต่จำนวนรถยนต์ที่ประกอบสำเร็จได้ในเวียดนาม ก็ยังต่ำกว่ากำลังการผลิตของไทย อินโดนีเซีย มาเลเซียและฟิลิปปินส์อย่างมาก ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศเวียดนามเองได้มีการพัฒนากิจการร่วมค้าการลงทุนจากต่างประเทศในตลาดอุตสาหกรรมยานยนต์นี้ อย่างไรก็ตามกิจการเหล่านั้นหลาย ๆ ส่วนก็ผันตัวมาเป็นเพียงแค่การจัดจำหน่ายยานยนต์แทนที่การผลิตด้วยตัวเองเป็นส่วนมาก

แล้วอนาคตของเวียดนามจะเป็นอย่างไร เวียดนามเองพยายามและหวังไว้กับการสร้างรถยนต์ของตัวเองใหม่ที่ชื่อ Vinfast ซึ่งผลิตโดย VinGroup ซึ่งถือเป็นรถคันแรกของประเทศที่สร้างขึ้น และหวังที่ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และนี่จะเป็นประตูไปสู่ก้าวแรกในฐานะผู้ผลิตรถยนต์สู่ตลาดโลก

ปลาใหญ่กินปลาเล็ก: เรื่องของประเทศไทยและเวียดนาม

ท่าทีล่าสุดจากฝั่งรัฐบาลฮานอย ด้วยการเริ่มดำเนินออกการกฎระเบียบใหม่ในการควบคุมการนำเข้า เป็นนัยยะที่สื่อถึงการให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการผลิตยานยนต์ภายในประเทศ ด้วยพระราชกฤษฎีกาที่ 116 ซึ่งว่าด้วยความจำเป็นสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องมีการใบอนุมัติประเภทยานพาหนะ (Vehicle Type Approval, VTA) จากประเทศผู้ส่งออก โดยกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ในการผลิต การประกอบ และการนำเข้ายานพาหนะ นอกจากนี้ยังกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับ การรับประกันและการบำรุงรักษายานพาหนะ อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมปรับตามกฎระเบียบใหม่ได้ไม่ยากนัก และยอดปริมาณขายยานยนต์นำเข้าของเวียดนามก็กลับสู่สภาพเดิม และเช่นเดียวกับการที่แนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นมาเหมือนก่อนหน้านี้ และคาดว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตามอัตราปกติ เวียดนามเป็นเพียงประเทศเดียวที่ออกกฎระเบียบดังกล่าวนี้ ซึ่งก็ไม่ค่อยจะเป็นไปตามแนวปฏิบัติตามตลาดสากลทั่ว ๆ ไปสำหรับตลาดกลุ่มนี้ นี่ก็คงอาจจะเป็นเพียงกลยุทธ์ในการปกป้องตลาดในประเทศเท่านั้น

Light Vehicle ownership by unit
Source: IHS Automotive

ประเทศไทยซึ่งเป็นผู้ส่งออกรถยนต์ขนาดใหญ่ที่มีการผลิตรถยนต์แบบครบวงจร (Completely-Built-Up: CBU) ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคที่ป้อนเข้าสู่เวียดนาม และตามมาด้วยอินโดนีเซีย ซึ่งต่างก็ปรับตัว โดยที่ได้ออกใบรับรอง VTA ให้แก่ผู้นำเข้ารถยนต์ในเวียดนามเพื่อแก้โจทย์ด้านนโยบายนี้ และดำเนินธุรกิจก็ดำเนินต่อไปได้ในไม่ช้า

ในปีนี้เองข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (FTA) โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิกัดในกลุ่มด้านสินค้ายานยนต์ในกลุ่มอาเซียนได้ยกเลิกไปแล้วเป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์แล้ว ทำให้การค้าภายในอาเซียนเองด้วยตัวเลขการส่งออกรถยนต์จากไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นโยบายนี้ทำให้ประเทศไทยได้รับความสนใจจากยานยนต์ชั้นนำที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง (OEM) ในสร้างโรงงานการผลิตในประเทศไทยเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากต้นทุนการผลิต และ เป็นฐานการผลิตที่มีแหล่งของกลุ่มบริษัทต่าง ๆ มากมายที่เป็นที่น่าเชื่อถือและมีการดำเนินการมานาน ในการผลิตชิ้นส่วนต่างสำหรับยานยนต์เพื่อป้อนเข้าสู่บริษัทยานยนต์หลักเหล่านี้ และก็ยังสามารถได้ประโยชน์จากการส่งออกสู่ประเทศรอบข้างด้วยระยะอันใกล้ ประเทศไทยพึ่งพาการนำเข้าของชิ้นส่วนอะไหล่เหล่านี้ค่อนข้างน้อยในการผลิตรถยนต์ ในขณะที่เวียดนามยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าชิ้นส่วนเพื่อการผลิตในประเทศ ซึ่งมีปริมาณป้อนเข้าสู่การผลิตในประเทศประมาณเพียง 10% ในระยะยาวผู้ผลิตต้นแบบชั้นนำต่าง ๆ มุมมองทางด้านนี้ต่อการผลิตในประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้มากขึ้น และเพราะมีองค์ประกอบด้านซัพพลายในประเทศที่อยู่ในระดับสูง สำหรับปัจจัยในการขยายการผลิตและก็ครอบคลุมสำหรับตลาดในประเทศอีกด้วย อีกทั้งการส่งออกไปยังเขตปลอดภาษีให้กับสมาชิกอาเซียน ซึ่งแน่นอนนี่ย่อมเป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับเวียดนามที่จะเอาชนะการแข่งขันที่ยากลำบากนี้

มากไปกว่านี้ มีการคาดว่าจะมีการได้รับผลประโยชน์เพิ่มเติมเมื่อความร่วมมือในภูมิภาคทรานส์แปซิฟิคได้เริ่มเกิดขึ้น (Trans-Pacific Partnership: TPP) แม้ความจริง ณ ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่เป็นส่วนสมาชิกของเขตข้อตกลงการค้า TPP นี้ แต่นี้อาจจะไม่ใช่แต้มต่อสำหรับเวียดนามมากนัก เพราะประเทศไทยเอง กำลังจะเข้าเป็นสมาชิกภายในไม่กี่ปี ด้านสหรัฐเองก็ต้องการให้ไทยเข้ามาใช้เหตุผลด้านยุทธศาสตร์ทางภูมิศาสตร์ ขณะที่ญี่ปุ่นเองก็ต้องการให้ไทยเข้าร่วมด้วยเช่นกัน เพราะภาคการผลิตยานยนต์ในไทยส่วนมากเป็นการลงทุนของญี่ปุ่นส่วนใหญ่ และเนื่องจากห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดตั้งอยู่ในประเทศไทย โดยที่ที่รัฐบาลฟากฮานอยหวังที่ปกป้องอุตสาหกรรมยานยนต์ของตนโดยเชื่อว่าจะสามารถกระตุ้นการจ้างงานและรายได้นี้ แต่นี้อาจจะไม่ง่ายนักสำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่ของเวียดนาม Vingroup ที่กำลังจะเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ด้วยรถยนต์ Vinfast รถคันแรกของเวียดนามที่มีตราสินค้าเป็นของตัวเอง ซึ่งทุ่มเม็ดเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในเฟสเริ่มต้น และอีกหนึ่งโครงการที่จากทบริษัทผลิตรถยนต์ Truong Hai Automobile Company (Thaco) ซึ่งเป็นผู้ผลิตให้แก่ OEM Vingroup ได้จดทะเบียนสำนักงานในต่างประเทศในเอเชียและยุโรป โดยภาคการผลิตนั้นได้รับการสนับสนุนจากซัพพลายเออร์ต่าง ๆ จากเยอรมันนีหลายราย Vinfast จะนำรถสองรุ่นแรก และ SUV ออกแสดงที่งาน Paris International Auto ในเดือนตุลาคมนี้ กลยุทธ์ในการเปิดตัวครั้งนี้ เป็นการยืนยันการมุ่งมั่นที่จะเข้าสู่การแข่งขันระดับโลก และจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเวียดนามต่อไป กลุ่มซัพพลายเออร์ในอุตสาหกรรมยานยนต์เองในเวียดนามยังไม่ได้รับการพัฒนาเพื่อป้อนเข้าสู่การผลิตในการที่จะลดต้นทุนการผลิต ถ้าจะมองว่า การนำเข้าของชิ้นส่วนเพื่อการผลิตในจำนวนที่มากเพื่อผลิตในประเทศและนำกลับมาส่องออกอีกครั้ง มันอาจจะไม่ใช่สูตรสำเร็จที่ดีนักในด้านต้นทุนการผลิตสำหรับรูปแบบธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ในทางกลับกัน เราอาจจะได้รู้เกี่ยวกับกลยุทธ์นี้มาแล้วจากมาเลย์เซีย โดยรถยนต์โปรตอนที่พยายามสร้างตลาดรถยนต์ระดับประเทศที่แต่ก็ไม่ประสบความเสร็จเท่าที่ควร ซึ่งแน่นอน Vinfast เองก็จะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดที่ยากลำบากนี้เช่นกัน

การวางกลยุทธ์: เวียดนามต้องการการสนับสนุนจากต่างประเทศ

ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยผลักดันการเติบโตของตลาดยานยนต์ในประเทศเวียดนาม คงไม่มีอะไรนอกไปจาก การพัฒนาอุตสาหกรรมทั้งระบบในกลุ่มห่วงโซ่อุปทานในประเทศสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์นี้ ซึ่งถือว่ายังขาดแคลนและยังห่างไกลจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ไทย มาเลย์เซีย และอินโดนีเซีย

ในขณะที่เวียดนามเอง มีกว่า 12,000 บริษัทที่อยู่ในประเภทกลุ่มอุตสาหกรรมที่ซัพพลาย ซึ่งมีเพียงแค่ 300 รายเท่านั้นที่ให้บริการแก่ผู้ผลิตรถยนต์ และประมาณ 90% เป็นบริษัทต่างชาติ กฎระเบียบของรัฐบาลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้มุ่งเน้นไปที่การลดการพึ่งพาการนำเข้าและการสนับสนุนบริษัทในประเทศ ซึ่งก็ยังไม่เพียงพอ รัฐบาลควรมุ่งเน้นการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานและบริษัทซัพพลายต่างในประเทศ เช่นผ่านการฝึกอบรมทางเทคนิค เนื่องจากขาดความเชี่ยวชาญทางเทคนิคของบริษัทเหล่นนั้นเมื่อเทียบกับคู่แข่งในต่างประเทศ แต่กระนั้นสิ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือ เวียดนามเองยังคงเป็นประเทศตลาดหลักของมอเตอร์ไซด์ มันอาจจะ เร็วเกินไปที่จะคาดการณ์ได้ว่าแนวโน้มจะเปลี่ยนไป แต่อาจคาดได้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ แรงผลักดันน่าจะมาจากพฤติกรรมผู้บริโภคเช่นเดียวกับประเทศไทยเมื่อ 30 ปีที่แล้วเมื่อรายได้ของครัวเรือนเพิ่มขึ้น

Light Vehicle Production Outlook
Source: IHS Automotive

นอกจากนี้เวียดนามเองต้องการเงินทุนจำนวนมากเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งมีเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ของถนนในประเทศเท่านั้นที่มีการปูพื้นถนน แต่มีแผนที่จะสร้างทางหลวงสายเหนือ – ใต้ระยะทางประมาณ 1,372 กิโลเมตรภายในปี 2573 เวียดนามกำลังพัฒนาอย่างมากเพื่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตและเศรษฐกิจของประเทศ น่าเสียดายที่เวียดนามไม่สามารถได้รับเงินกู้ช่วยเหลือดอกเบี้ยต่ำจากการสนับสนุนจากต่างประเทศได้อีกแล้ว เนื่องจากเวียดนามเองก็เพิ่งจะพ้นจากเส้นความยากจนไปแล้วนั้นเอง เว้นแต่อาจจะมีข้อเสนอพิเศษระหว่างรัฐบาล ๆ เพื่อสนับสนุนเงินทุนและสนับสนุนโครงการด้านระบบการขนส่ง ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้อีกเช่นกัน เพราะเวียดนามเองกำลังสร้างระบบรถไฟใต้ดินแห่งแรกในประเทศ

ช่องทางการจัดจำหน่ายและบริการหลังการขายทั้งหมดเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมก็เช่นเดียวกัน ซึ่งยังไม่ได้พัฒนาอย่างเต็มที่ อันนี้คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามปัจจัยในการลงทุนของภาคเอกชน เพื่อตอบรับความต้องการของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นในการเป็นเจ้าของของรถ ซึ่งเราคาดว่าจะเห็นได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และทั้งสถาบันการเงินในเวียดนามก็ยินดีให้เงินกู้แก่ผู้ซื้อรถยนต์รายใหม่

อุตสาหกรรมยานยนต์ของเวียดนามยังคงต้องเผชิญกับปัญหาหลายอย่าง เห็นได้ชัดว่าสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในนี้คือสมการของรัฐบาลเวียดนามว่าจะตอบโจทย์อย่างไร ในขณะที่รัฐบาลเองก็พยายามมานานหลายทศวรรษที่ผ่านมาแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาภาคการผลิตรถยนต์ที่ยั่งยืนบ้านตัวเอง มีแต่เพียงแรงกดดันของผู้ประกอบการและผู้ผลิตในประเทศเองเท่านั้น กลยุทธ์นี้อาจจะดูมีเพียงแค่ใช้เทคนิคภาษีสรรพสามิตและพิกัดภาษี เพื่อชะลอการผลักดันการนำเข้าเป็นครั้งคราว อย่างไรก็ตามคาดว่ารัฐบาลเวียดนามไม่น่าจะมีโอกาสที่จะใช้กลยุทธ์นี้มากนักเนื่องจากจะขัดต่อยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของประเทศในการสนับสนุนและเปิดนโยบายการค้าเสรี ความกดดันจากภาคเอกชนดูจะเป็นทางหลักในการสร้างความเติบโตของธุรกิจนี้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม เหรียญย่อมมีสองด้าน ผู้เห็นความเสี่ยงแต่อาจจะมองเป็นโอกาสใหม่ ดังที่กล่าวไว้ เวียดนามยังขาดโครงสร้างพื้นฐานและห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศในอุตสาหกรรมนี้ นี่ย่อมทำให้เสมือนเป็นประตูสู่ที่เปิดรับการลงทุนใหม่ ๆ จากต่างประเทศที่จะนำความรู้ผลิตภัณฑ์และโอกาสสู่ตลาดเวียดนาม ตลาดเวียดนามยังไม่ไม่ถูกทุ่มตลาดในอุตสาหกรรมนี่เท่าไรนักและยังไม่ค่อยมีผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ เปรียบได้ดั่งมหาสมุทรใหญ่ที่มีปลาให้จับอีกเป็นจำนวนมาก