เริ่มต้นด้วยนิยามความตรงกันข้ามระหว่างระบบอัตโนมัติและความยืดหยุ่น บ่อยครั้งที่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการจัดการสินค้าคงคลังมันจะควบระบบอัตโนมัติเข้ากับระบบ MHE ที่หมายรวมไปถึง conveyors, sorters, high-bay storage cranes เป็นต้น โดยส่วนมากเรามักจากมองหาโซลูชั่นที่เป็นความลับในรูปแบบกล่องดำ ระบบปิดซึ่งจัดหาโดยผู้ให้บริการระบบอัตโนมัติที่สามารถเก็บรักษาข้อมูลการนำเข้าและส่งออกสินค้าได้อย่างเคร่งครัด
ระบบ ONE SYSTEM สำหรับระบบอัตโนมัติทำงานได้ดีเมื่อคุณทำงานในสภาพแวดล้อมที่คงที่ นั่นหมายถึงว่าไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของผลิตภัณฑ์ รูปแบบการสั่งซื้อ รูปแบบการนำเข้าออกสินค้า และช่องทางการจัดจำหน่ายไม่มากนัก หรือเมือคุณต้องการระบบที่ดีเลิศมากขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับการทำงาน แน่นอนว่าระบบที่จะตามมาเพิ่มเติมคือความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลในเรื่องปริมาณ (สูงสุดและค่าเฉลี่ย) การใช้งาน (ใช้งานโดยเฉลี่ยอย่างน้อย X ชั่วโมง) และระดับค่าแรงงาน
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเราจะพบการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว นั่นหมายความว่าระบบออโตเมชั่นจะเข้ามาอยู่ในทุกการตรวจวัดในทุกขั้นตอนการทำงาน และในขั้นตอนการผลิตเพื่อให้เข้ามาทดแทนและใช้คนให้น้อยที่สุด นั่นหมายความว่าการเข้าถึง การได้มาและการใช้ข้อมูลจะเป็นไปอย่างถูกต้องและสามารถลดขั้นตอนในกระบวนการที่ไม่จำเป็นได้ทันที การเพิ่มระบบ WHE เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แต่ก็ยังมีอีกหลายวิธีเช่นกัน หลักสำคัญในการพิจารณาเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสมนั้นคือระบบจะต้องมีความยืดหยุ่นและให้ได้ตามที่คุณต้องการและสามารถเปลี่ยนแปลงระบบให้มีความเหมาะสมได้ ดังนั้นสิ่งที่ต้องการคือทำอย่างไรให้ออกแบบระบบอัตโนมัติให้สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการย่อยๆและขยายสู่กระบวนการผลิตแบบอัตโนมัติทั้งสายทางการผลิตให้ได้
โดยระบบ MHE นั้น ปัจจุบันส่วนใหญ่จะได้รับการออกแบบให้มีระบบเซ็นเซอร์เพื่อการตรวจสอบการนำเข้าและออกสินค้าได้อย่างอัตโนมัติ ดังนั้นในการทำงานจริง ผู้ปฏิบัติงานจะทำหน้าที่ในการดูแลภาพรวมของระบบเท่านั้น แต่ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะให้มีคนปฏิบัติงานอยู่บริเวณโดยรอบของระบบนี้ เนื่องจากการเคลื่อนของคน หรือแม้แต่การส่งเสียงรบกวนอยู่บ่อยๆจะสร้างความสับสนให้กับเครื่องสแกน และเซนเซอร์ต่างๆจนทำให้เกิดความผิดพลาดได้ นอกจากนี้การทำงานร่วมกันระบบคนกับระบบอัตโนมัติยังเป็นอุปสรรคต่อความความเร็วในการทำงานของระบบ MHE อีกด้วย ดังนั้นหากจะทำระบบอัตโนมัติในกระบวนการโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิผลแล้วควรทำทั้งระบบจึงจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด
นอกจากนี้ลักษณะของระบบการจัดการคลังสินค้า (WMS) เป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการผลิต WMS ที่ดีจะต้องมีประสิทธิภาพสูง ทำงานด้วยระบบอัตโนมัติและผลักดันให้ผู้ควบคุมดูแลระบบจำเป็นต้องทำงานให้รวมเร็วและทันตามระบบอีกด้วย ทั้งที่เพื่อลดช่องว่างของเวลาให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผู้ปฏิบัติงานจะเริ่มเห็นภาพชัดเจนว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ และจะนำระบบอัตโนมัติเข้ามาเสริมประสิทธิภาพเหล่านี้ให้เพิ่มขึ้นได้อย่างไร และค่อยๆลดภาระที่ใช้แรงงานคนออก จนสุดท้ายผู้ปฏิบัติงานจะทำหน้าที่ในการดูแลระบบให้สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องอย่างอัตโนมัติเท่านั้น
หัวใจสำคัญที่เป็นข้อกำหนัดถึงความสัมพันธ์ที่คล้องจองกันระหว่างระบบ WMS และการควบคุมระบบด้วยอุปกรณ์อัตโนมัตินั้นได้แยกแยะและแสดงให้เห็นดังนี้

WAREHOUSE MANAGEMENT SYSTEM
- สามารถจัดการระบบการสั่งซื้อต่างๆหลายรูปแบบได้อย่างครอบคลุม
- สามารถทำงานผ่านระบบ WCS และเพื่ออัพเดทการรับและยืนยัน
- สามารถทำนายและคำนวณรูปแบบการเคลื่อนที่ของงานได้ด้วยตนเองและยังคาดการณ์เวลาในกระบวนการทั้งหมดได้อย่างอัตโนมัติ
- ติดตาม ยืนยันและรายงานความคืบหน้าได้อย่างเทียงตรง
WAREHOUSE CONTROL SYSTEM
- ควบคุมและเพิ่มประสิทธิภาพระบบย่อย (สายพานลำเลียง,ตัวเรียงลำดับ,เครื่องหยิบและจัดเรียงหรือระบบจัดเก็บและเรียกค้นข้อมูลที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เช่นโหลดขนาดเล็กหรือแท่นวางสินค้าด้วยเครน)
- ดำเนินงานตามคำสั่งของ WMS
- ดำเนินงานตาม slotting เพื่อจัดระเบียบและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดวางผลิตภัณฑ์เมื่ออุปกรณ์ไม่ทำงาน
- เป็นต้นแบบการควบคุมอุปกรณ์และสถานที่ที่ใช้ในการควบคุมระบบย่อยที่ควบคุมหรือเป็นเสมือน “กล่องดำ” จากมุมมอง WMS

ซึ่งหมายความว่าแต่ละกระบวนการต้องกำหนดคำสั่งและคาดการผลที่ได้รับเอาไว้ (เมื่อยืนยันการเคลื่อนที่ พาเลทจะเคลื่อนที่ไปยังจุดที่ขนถ่ายสินค้า เป็นต้น) และคุณต้องแน่ใจว่าระบบ WMS ของคุณสามารถกำหนดค่าเพื่อข้อมูลที่ถูกต้องและนำไปยืนยันในส่วนอื่นๆต่อไป