เทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัยในห่วงโซ่อุปทาน: สมการใหม่ในการทำกำไรเพิ่มขึ้น
เริ่มต้นการที่ลูกค้าเพิ่งสั่งซื้อออนไลน์และได้รับการยืนยันการจัดส่ง แค่เพียงไม่เกิน 24 ชั่วโมง สินค้าจะถูกส่งถึงประตูบ้านลูกค้า ในทุกวันนี้ทุกคนต้องการแต่ความรวดเร็ว ดังนั้น เราจำเป็นต้องมองหาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยสำหรับระบบซัพพลายเชนในรูปแบบดิจิทัล ทั้ง B2C และ B2B ต่างก็ต้องการได้รับประสบการณ์ใหม่ที่จะสร้างระบบจัดส่งตามความต้องการของลูกค้า และเร็วที่สุด สิ่งที่ต้องคำนึงประการสำคัญสำหรับผู้จัดจำหน่าย คือ การจัดการข้อมูลทั้งหมด แต่ก็ยังสามารถคงสภาวะการแข่งขันได้และคุ้มค่า ข้อมูลที่มาจากแหล่งต่างๆ ในระบบ เช่น คลังสินค้า การขนส่ง และผู้จัดจำหน่าย จะต้องได้รับการเชื่อมต่อกันประสานกันอย่างสมบูรณ์ภายในเวลาจำกัด คุณภาพทางกระบวนการด้านข้อมูลดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญทางเทคโนโลยีที่หลายบริษัทก็ยังต้องก้าวข้ามไป รายงานผลการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้แสดงให้เห็นว่าโซ่อุปทานแบบดิจิทัลสามารถลดต้นทุนการจัดซื้อ (Gartner) ลดต้นทุนกระบวนการผลิตห่วงโซ่อุปทาน (BCG) และยังส่งผลกระทบต่อรายได้และการเติบโตของ EBIT (McKinsey & Company)
เริ่มต้นด้วย AR: ตอนนี้ไปคลังสินค้า
อาจจะมองเป็นตลกร้ายก็ได้ที่เออาร์นั้น เริ่มต้นเป็นที่ก้าวถึงด้วยเพราะวงการบันเทิงและสื่อที่นำความสนใจสู่สาธารณะชน ภาพยนตร์เรื่อง เทอร์มิเนเตอร์ หรือคนเหล็กนั้น ยุคก่อนนั้นเป็นหนึ่งในตัวอย่าง หุ่นยนต์ที่มองโลกของเราผ่านหน้าจอที่ให้ข้อมูลซ้อนทับแบบดิจิทัล เอาเข้าจริงเรากลับใช้เวลาในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ได้จริงก็อีก 30 ปีต่อมา สำหรับแว่นตาอัจฉริยะที่มีการแสดงผล AR ให้เสมือนจริง ในช่วงต้นปี 2013 ทีมงานของ Google Glass ซึ่งเป็นหนึ่งในนักพัฒนาชั้นนำที่ถึงขนาดได้รับรางวัล สิ่งประดิษฐ์ยอดเยี่ยมแห่งปี จากนิตยสาร Time แม้จะมีกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ในหลายๆ ด้าน แต่ Google Glass ก็ยังไม่ได้ตอบโจทย์ในการเติมเต็มความคาดหวังที่จะให้ประสบการณ์การใช้อุปกรณ์สวมใส่ใหม่ๆ ของผู้บริโภค ราคา และความลับส่วนบุคคล ก็ถูกตั้งคำถาม แต่กระนั้นในช่วงเวลาต่อมาอีกไม่กี่ปี Google Glass กลับมาสร้างความตื่นเต้นใหม่ให้กับชาวโลก แต่เป็นด้านธุรกิจของการจัดการซัพพลายเชน ซึ่งรวมไปถึงอุปกรณ์ในแบบเดียวกันจากค่ายอื่นๆเช่น ซัมซุง หรือ เอปสัน และอื่น ๆ
คำถามก็คือ: แว่นตาอัจฉริยะ ทำงานอย่างไรกับระบบคลังสินค้าและการดำเนินงานของศูนย์กระจายสินค้า ก่อนอื่นเลยต้องเข้าใจด้วยว่าต้องตอบโจทย์ให้ได้ก่อนว่าจะปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ได้ดีแค่ไหน บริษัท ต่างๆ กำลังทดลองแว่นตาอัจฉริยะนี้ในการใช้งานบนระบบคลังสินค้ามากขึ้น แว่นตาอัจฉริยะแบบสวมใส่เหล่านี้ เชื่อมต่อและเก็บรวบรวมข้อมูลผ่านเครือข่ายไร้สาย จากนั้นแสดงข้อความและตัวเลขบนหน้าจอขนาดเล็กที่รวมอยู่ในแว่นตา จากมุมมองของผู้ใช้จอแสดงผล จะมีลักษณะเหมือนข้อความขนาดเต็มซ้อนทับด้านบนของสายตาของคนปกติอีกทีหนึ่ง หรือคล้ายๆ กับเป็นฉากซ้อนโลกแห่งความเป็นจริงที่ผู้สวมใส่กำลังดูอยู่ในขณะนั้น แนวคิดนี้ คือ การให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถเข้าถึงข้อมูลที่สร้างโดยคอมพิวเตอร์โดยไม่ต้องพกพา เครื่องสแกนเนอร์มือถือ อุปกรณ์ RF หรือกระดาษงานใด ๆ เข้าด้วยกัน
ดังนั้น จึงทำให้เกิดกระบวนการที่ไม่หยุดชะงักในขณะปฏิบัติงาน ซึ่งผลก็คือจะช่วยเพิ่มกระบวนการทำงานด้านการผลิต สำหรับคลังสินค้าขนาดใหญ่แบบผสมผสานระหว่างการจัดวางพาเล็ต ซึ่งปัจจุบันก็มาจากเทคโนโลยีการทำงานด้วยระบบเสียง และ AGVs ศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่จำนวนมากกำลังปรับปรุงเชื่อมโยงและผนวกเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดตะวันตกซึ่งค่าใช้จ่ายในด้านบุคคลอยู่ในระดับสูงเพื่อให้ยังสามารถแข่งขันได้ ขณะที่บางบริษัทกำลังดำเนินการทดสอบในขั้นต้นกับผู้ปฏิบัติงานเพื่อดูว่าแว่นตาอัจฉริยะจะสามารถมาแทนที่โซลูชั่นการทำงานด้วยระบบเสียงหรือไม่ ซึ่งยังคงเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าที่สุดในปัจจุบัน สำหรับการใช้แว่นตาอัจฉริยะมาแทนที่นั้นแต่ก็ยังคงระดับที่มีประสิทธิภาพไม่น้อยไปกว่าเดิม
มีนักวิจารณ์กล่าวว่า สำหรับตัวแว่นตาอัจฉริยะเอง ก็ยังไม่ได้ปัจจัยหลักที่ชัดเจนในการโน้มน้าวตลาดในการประยุกต์เพื่อใช้งานดังกล่าวมากไปกว่าการใช้เพื่อความบันเทิง แต่พอจะเป็นจริงได้อยู่บ้างสำหรับแว่นตาอัจฉริยะในธุรกิจคลังสินค้า แว่นตาอัจฉริยะอาจให้ประสิทธิภาพการทำงานที่ดีกว่าการสั่งงานด้วยระบบเสียง ประการแรก เช่น หากผลิตภัณฑ์ต้องได้รับการสแกนหมายเลขล็อตหรือรหัสอนุกรม ซึ่งในกรณีนี้แว่นตาอัจฉริยะจะทำงานได้เร็วกว่า ประการที่สองการจัดวางพาเล็ต ในกรณีนี้ แว่นตาอัจฉริยะดูจะตอบโจทย์มากกว่าโซลูชั่นประเภทอื่น ๆ
ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าแว่นตาอัจฉริยะจะดีกว่าการสั่งงานด้วยเสียงหรือไม่ แต่การเปิดตัวก็เรียกเสียงตอบรับได้ค่อนข้างดีเพราะมันดูล้ำนำสมัยกว่าใครๆ แว่นตาอัจฉริยะอาจเป็นไปได้ว่า จะมีวิธีการมองโลกผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตคลังสินค้า และดูเหมือนว่าจะลดต้นทุนได้อีกด้วย แต่ก็ยังต้องพิสูจน์ให้ได้มากกว่านี้ ฉะนั้น สำหรับเทคโนโลยีคลังสินค้านี้อาจจะไม่ไกลเกินกว่าที่จะเป็นจริงในอนาคต

โครงการต้นแบบที่ประสบความสำเร็จหลายโครงการ แต่มันพร้อมหรือยัง?
แว่นตาอัจฉริยะ อาจเป็นตัวพลิกเกมการแข่งขันสำหรับแอพพลิเคชันคลังสินค้าหรือไม่นั้น ณ วันนี้ เราอาจไม่ต้องสงสัยอะไรนอกไปจากด้านการลงทุน การขาดกรณีรูปแบบประยุกต์ใช้งานเชิงธุรกิจที่ชัดเจน การปรับรูปแบบให้เข้าแผนการดำเนินงานของธุรกิจ การเชื่อมต่อเข้ากับระบบอื่นๆให้มีประสิทธิภาพสูงสุด (CRM, ERP, WMS เป็นต้น) สิ่งนี้ยังคงข้างคาใจที่จะตอบว่าเมื่อไหร่ เทคโนโลยีนี้จะสมบูรณ์แบบที่จะเสนอแบบต้นน้ำถึงปลายน้ำได้ เทคโนโลยีแว่นตาอัจฉริยะอาจยังมีข้อจำกัดการใช้งานในวันนี้ แต่มันย่อมมีการเปลี่ยนแปลงในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน เทคโนโลยีแว่นตาอัจฉริยะ และ AR กำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และสำหรับระบบโลจิสติกส์น่าจะเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมแรกที่ได้รับผลประโยชน์ในเร็ววัน
บทสรุปในเรื่องนี้:
• เทคโนโลยีนี้ใช้อุปกรณ์แบบแฮนด์ฟรีที่สามารถเชื่อมต่อเข้าถึงข้อมูลได้ทันที
• การปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิภาพ
• อย่างไรก็ตามแนะนำให้พิจารณาเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านเตรียมพร้อมกระบวนการทางธุรกิจและเวิร์กโฟลว์ก่อนการย้ายไปยังแพลตฟอร์มใหม่
• ที่สำคัญ ต้องตอบโจทย์รูปแบบธุรกิจ